ประวัติศาลพระภูมิโดยสังเขป
ประวัติศาลพระภูมิ บางท่านอาจจะเคยได้ยินมาแล้ว บางท่านอาจจะได้ยินมาอย่างผิดๆ โพสนี้จะเป็นเรื่องราวอย่างย่อเพื่อให้ท่านได้เข้าใจถึงประวัติศาลพระภูมิอย่างถูกต้อง
พระชัยมงคลหรือพระภูมิในศาลพระภูมินั้น บางตำนานมีความเชื่อผิดๆ ว่า พระภูมินั้นเป็นพระ เมื่อบวชเรียนมาเป็นเวลานานหลายพรรษาจนมรณะภาพ แล้วจึงกลายมาเป็นพระภูมิ ทำให้บางท่านมีความเชื่อว่า ถ้าให้พระเกจิอาจารย์ ที่ตนนับถือมาเป็นผู้ตั้งศาล จะมีความเป็นสิริมงคลเป็นอย่างมาก
ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ผิด พระกับพระภูมินั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย และตามศาสตร์จริงๆนั้น พระไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ที่จะเป็นเจ้าพิธีในการอัญเชิญพระภูมิ เจ้าที่ มาสถิตย์ในศาลของเรา เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์
ท่านสามารถอ่าน พิธีการตั้งศาลพระภูมิที่ถูกต้อง <<<—— ได้ที่นี่
สารบัญ
พระภูมิคือใคร เรื่องราวโดยสังเขป
ตำนาน หรือประวัติศาลพระภูมิ มีหลายตำราแต่จะมีความคล้ายคลึงกัน คือ พระภูมิเป็นโอรสองค์โตในทั้งหมด 9 พระองค์ของท้าวทศราช มีพระนามที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งก็คือ “พระชัยมงคล”
พระชัยมงคลเป็นเทพที่ดูแล บ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ และพระโอรสอีก 8 พระองค์ก็จะดูและในส่วนอื่นๆ
เราจะคุ้นเคยกับพระภูมิมากที่สุดเพราะ เป็นเทพที่ดูแลบ้านเรือนและร้านค้า รายชื่อของพระโอรสในท้าวทศราชมีดังนี้
พระนามของพระโอรสทั้ง 9 และหน้าที่การคุ้มครอง
- พระชัยมงคล ทรงปกครองดูแลบ้านเรือน ร้านค้าต่างๆ คนไทยจะคุ้นเคยกับองค์นี้ที่สุด
- พระนครราช หน้าที่จะเกี่ยวกับการป้องกันเมืองคือ ปกปักรักษา ป้อมค่ายต่างๆ ประตูเมือง หอรบ บันไดต่างๆ
- พระเทเพล จะเกี่ยวข้องกับอาชีพที่เกี่ยวกับปสุสัตว์ ท่านจะดูแล ฟาร์มต่างๆ ไร่ และคอกสัตว์
- พระชัยสพ ดูแลปกป้องรักษา เสบียงคลัง ยุ้งฉาง
- พระคนธรรพ์ เชื่อว่าเป็นผู้ปกป้องสถานบันเทิงรื่นเริงต่างๆ โรงพิธีวิวาห์ สถานที่แต่งงาน
- พระธรรมโหรา มีหน้าที่ปกป้องดูแลโรงนา สวนต่างๆ
- พระวัยทัต ท่านมีหน้าที่ปกปักปูชนียสถาน วัดวาอารามต่างๆ
- พระธรรมิกราช ทรงปกครองรักษาดูแลกิจการต่างๆที่เกี่ยวกับพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งหมด
- พระทาษธารา มีหน้าที่ปกครองดูแลห้วย หนอง คลอง บึง ลำธารทุกแห่ง
เรื่องราวเริ่มต้นของประวัติศาลพระภูมินั้นคือ แรกเริ่มท้าวทศราชเป็นกษัตริย์เจ้าเมืองพาลี ทรงเป็นกษัตริย์ที่ไม่อยู่ในทศพิศราชธรรม กดขี่ข่มเหงประชาชน ประชาชนได้รับความทุกยากไปทุกหย่อมหญ้า
ทั้งนี้ ท้าวทศราชยังสั่งสอนพระโอรศให้กระทำตัวหยาบช้าเช่นตนเอง ทั้งรีดไถ ข่มขู่ให้หาเครื่องสิ่งของเครื่องบรรณาการต่างๆมาให้แก่พวกตนเอง
ชาวบ้านต่างเดือดร้อนเป็นยิ่งนัก ที่ต้องคอยหาแก้วแหวนเงินทองมาถวายแก่ท้าวทศราชและพระโอรส ซึ่งชาวบ้านก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ารับชะตากรรม
จนกระทั่งเรื่องนี้ร้อนไปถึงพระนารายณ์ที่ประทับอยู่ในพระตำหนักบนสรวงสวรรค์ชั้นไวกูณฐ์ พระนารายณ์ทรงได้รับเรื่องร้องทุกจากเทพบริวารของท่าน ท่านซึ่งเป็นผู้มีเมตตาเมื่อเห็นราษฎรของกรุงพาลีทุกยาก ก็ทรงอยากจะช่วยให้พ้นทุกจากเหตุการณ์นี้เสีย ครั้นจะใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่ลงทันพ่อลูกแห่งกรุงพาลีก็อาจจะง่ายเกินไป ท้าวทศราชและพระโอรสอาจจะไม่สำนึก
ท่านจึงทรงคิดอุบายขึ้นเพื่อเป็นการสั่งสอน ท้าวทศราชและพระโอรส ขึ้นโดยแปลงกายเป็นพราหมณ์ที่น่านับถือ แล้วทรงเสด็จมาที่กรุงพาลี
เมื่อท้าวทศราชเห็นพระนารายณ์ที่จำแลงกายลงมาเห็นว่าเป็นพราหมณ์ก็ต้อนรับขับสู้ เป็นอย่างดี เมื่อมีการสนทนาไปสักครู่หนึ่ง พราหมณ์ที่เป็นร่างจำแรงของพระนารายณ์ก็เอ่ยปากขอที่ดินสักผืนหนึ่ง ท้าวทศราชก็ถามกลับไปว่า ท่านต้องการสักเท่าไหร่หรือ
พระนารายในร่างของพราหมณ์ก็กล่าวตอบไปว่า ต้องการเพียง 3 ก้าวเท่านั้น
ท้าวทศราชได้ยินดังนั้นก็ทรงพระสรวลแล้วตอบตกลงทันที
ร่างจำแลงของพระนารายณ์เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงขอให้ท้าวทศราชหลังน้ำอุทกธาราเพื่อเป็นการยืนยันรับสัญญาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
พิธีหลั่งน้ำอุทกธารา
ท้าวทศราชจึงสั่งให้มหาดเล็กไปนำข้าวของเครื่องใช้รวมไปถึงพระเต้าเพื่อนำมาใช้ในพิธีหลั่งน้ำอุทกธาราในทันที
ในระหว่างทำพิธีจนถึงขั้นตอนที่ท้าวทศราชต้องเทพระเต้าให้น้ำออกมา ปรากฎว่าเทเท่าไหร่น้ำก็ไม่ออก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ พระศุกร์ผู้ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท้าวทศราชทราบว่า พราหมณ์ผู้นี้คือพระนารายณ์จำแลงมาเพื่อสั่งสอนท้าวทศราชและพระโอรส จึงทำการขัดขวางโดยแปรงร่างแล้วแอบเข้าไปในพระเต้าแล้วเอาตัวขวางไว้เพื่อไม่ให้น้ำออกมาจากพระเต้าได้
เมื่อพระนารายณ์เห็นว่าเทเท่าไหร่น้ำก็ไม่ออกจึงกระแสจิตเพ่งดูว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น จึงทราบว่าพระศุกร์ได้มาขัดขวางไว้ท่านจึงนำหญ้าคาแหย่เข้าไปในพระเต้า เผอิญว่าหญ้าคานั้นไปบาดเอาที่ตาของพระศุกร์ พระศุกร์จึงหนีไป จากนั้นน้ำก็ไหลออกมาได้โดยสะดวก พิธีก็ดำเนินจนเสร็จสิ้นไป
หลังจากพิธีเสร็จแล้วนั้น พราหมณ์ที่เป็นร่างแปลงของพระนารายณ์ก็สำแดงอิทธิ์ฤทธิ์กลับคืนสู่ร่างเดิม
พระองค์ทรงยืนด้วยร่างอันใหญ่โต ซึ่งร่างนี้สูงใหญ่กว่าปราสาทของท้าวทศราชเสียอีก จากนั้นพระนารายณ์ก็เดินเพียง 3 ก้าวก็ได้ระยะมากกว่าอาณาเขตของเมืองพาลีทั้งเมือง
เมื่อเห็นดังนั้น ท้าวทศราช พระมเหสี และพระโอรสทั้ง 9 ก็ตกตะลึงพร้อมกับก้มกราบขอขมาพระนารายณ์เพราะรู้ดีว่าต้องเสียเมืองให้พระนารายณ์
บทลงโทษของท้าวทศราช และพระโอรส
พระนารายณ์ต้องการสั่งสอน ท้าวทศราช และพระโอรสจึงไม่ยอมผ่อนปรนให้ ทำให้ท้าวทศราช พระมเหสี และพระโอรสทั้งหมด ต้องออกจากเมือง ด้วยที่เป็นวรรณะกษัติร์ไม่เคยลำบาก ท้าวทศราช และพระโอรสจึงมีชีวิตอย่างยากลำบากแบบที่ไม่เคยพบมาก่อน ด้วยเขตที่ท้าวทศราชและพระโอรส ออกไปนั้นเป็นเขตนอกป่าหิมพานที่แห้งแร้ง ทุรกันดาร หาผลไม้หรือน้ำก็ยากทำให้ต้องพบความลำบากอย่างแสนสาหัส ทั้งหมดจึงสำนึกได้แล้ว พากันไปเข้าเฝ้าขอประทานอภัยจากพระนารายณ์ด้วยความจริงใจและสัญญาว่าจะตั้งตนอยู่ในความดี
เมื่อพระนารายณ์เห็นเช่นนั้นก็ให้อภัยและให้ทั้งหมดกลับไปที่กรุงพลาลี แต่ไม่ใช่ในฐานะกษัตริย์ ให้อยู่ในฐานะผู้ปกปักรักษาดูและสถานที่ต่างๆโดยให้ทุกพระองค์ประทับอยู่บนศาลพระภูมิที่มีเสาเดียวปักอยู่บนพื้น
ซึ่งท้าวทศราชและพระโอรสก็น้อมรับอย่างโดยดี
สรุป
พระนามของพระโอรสทั้ง 9 และหน้าที่การคุ้มครอง ด้านบน